เรื่องของสายใยแก้ว (FIBER OPTIC CABLE)
เป็นเรื่องใหม่และไกลตัว ผมยังจำได้ในการติดตั้งสายใยแก้วครั้งแรก ณ
สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง
ซึ่งเป็นแห่งแรกของประเทศไทยที่นำสายใยแก้วมาทดลองเดินสายเป็นสายเชื่อมหลัก
(Back Bone) ปรากฎว่าค่อนข้างตื่นเต้นโดยเฉพาะตอนที่เข้าหัวสาย FIBER
ปรากฎว่ามีนักศึกษาร่วม 50 คนมามุงดูพร้อมทั้งถ่ายทำวี.ดี.โอ.
ซึ่งทราบต่อมาว่าเพื่อนำไปฉายให้นักศึกษาในห้องเรียนได้มีโอกาสสัมผัส
มาถึงปัจจุบันนี้...เรื่องของสายใยแก้ว
(ผมขอเรียกว่าสายไฟเบอร์ดีกว่าดูไฮเทคดี)
เป็นเรื่องใกล้ตัวของพวกเราที่อยู่ในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศหรือ IT แล้ว
แต่ปรากฎว่ายังมีคนจำนวนมากที่ยังไม่รู้จักสายไฟเบอร์หรืออาจรู้จักอย่าง
ผิวเผินเต็มที ดังนี้ผมขอขันอาสานำเรื่องยาก ๆ
ของสายไฟเบอร์มาเขียนอธิบายง่าย ๆ
เพื่อให้คนทั่วไปได้รู้จักและเข้าใจเพิ่มขึ้นดังนี้
สายไฟเบอร์เป็นสายที่นำหลอดแก้วมาหุ้มฉนวนเพื่อใช้
เป็นตัวนำสัญญาณแสง โดยทำขึ้นจากหลอดแก้วซึ่งเป็นหัวใจหลักของสาย
เราลองหลับตานึกดูว่า หลอดแก้วที่นำมาเป่าเป็นเส้นใส ๆ
จะนำสัญญาณแสงจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้อย่างไร
เราลองฉายไฟฉายเข้าไปในหลอดแก้วใส ๆ จะพบว่าแสงทะลุด้านข้างหลอดแก้วไปหมด
ดังนั้นเทคโนโลยีของสายไฟเบอร์อย่างหนึ่งก็คือการนำสารมาฉาบรอบนอกของหลอด
แก้วเพื่อไม่ให้แสงทะลุผ่านหลอดแก้วไป
ดังนั้นการแบ่งประเภทหลัก ๆ ของสายไฟเบอร์จึงแบ่งตามขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลางของแก้วดังนี้
1. ขนาด 8.3/125 ?m หมายถึงแก้วมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 8.3 ไมโครเมตรและเคลือบผิวแก้วจนมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 125 ไมโครเมตร
2. ขนาด 50/125 ?m หมายถึงแก้วมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 50 ไมโครเมตรและเคลือบผิวแก้วจนมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 125 ไมโครเมตร
3. ขนาด 62.5/125 ?m หมายถึงแก้วมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 62.5 ไมโครเมตรและเคลือบผิวแก้วจนมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 125 ไมโครเมตร
หลายคนอาจหาว่าผมโกหก
เมื่อเส้นแก้วเคลือบสารกันสะท้อนจะนำมาเดินเป็นสายได้อย่างไร ใจเย็น ๆ ครับ
ผมกำลังจะอธิบายต่อว่า
เมื่อได้เคลือบสารกันสะท้อนแล้วยังไม่สามารถใช้งานได้
เราจำเป็นต้องเคลือบฉนวน (JACKET)
อีกชั้นหนึ่งเพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการใช้งานและสามารถดัดโค้งได้บาง
ส่วน
ซึ่งการเคลือบฉนวนขั้นตอนนี้เราจะใส่สีเข้าไปด้วยเพื่อแยกแยะว่าเส้นไหนเป็น
เส้นไหน ขั้นตอนนี้เขาจะเคลือบฉาบจนความหนา 250 ?m
เพื่อไม่ให้ท่านหลุดโลกไปเลย
จึงขออนุญาติแนะนำศัพท์ที่ใช้กันแพร่หลายเพื่อที่เวลาไปอ่านหนังสือต่าง
ประเทศจะได้เข้าใจว่าหมายถึงอะไรดังนี้
1. CORE แปลทับศัพท์ แปลว่า แก่น ซึ่งก็หมายถึงตัวแท่งแก้วนั่นเอง
2. CLADDING แปลว่า ฉาบติด หมายถึงการฉาบสารกันสะท้อนไปบนแท่งหลอดแก้ว
3. COATING แปลทับศัพท์ว่า การเคลือบ ซึ่งก็คือการเคลือบฉนวนไปบนหลอดแก้วที่ฉาบสารแล้วกลายเป็นเส้นไฟเบอร์
เห็นไหมครับว่าจริง ๆ
แล้วเทคโนโลยีสายไฟเบอร์ไม่มีอะไรพิเศษพิสดารเลย
เพียงแต่เรามาเรียกชื่อภาษาอังกฤษกันจนคนไทยสับสนคิดว่าไฮเทค
เช่นเรียกสายไฟเบอร์ด้วยขนาดเป็น 62.5/125
ซึ่งบางทีพอเราไม่รู้ที่มาที่ไปก็เลยงง ๆ พอถามก็เจอคำอธิบายอีกว่า 62.5
คือขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของ CORE และ 125 คือขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของ
CLADDING เลยจบก่อนที่จะเข้าใจ กลายเป็นว่าเป็นอะไรที่ยากเกินเข้าใจไปแล้ว
เพิ่มเติมอีกนิดหนึ่งเมื่อมีคำถามว่าสายที่บอกว่า
ซิงเกิ้ลโหมด (Singlemode) กับมัลติโหมด (Multimode) คืออะไร
มันแตกต่างกับสายไฟเบอร์ที่ผมเขียนมาข้างต้นไหม ก็ขออธิบายเพิ่มดังนี้คือ
1. แบบซิงเกิ้ลโหมด (Singlemode) ก็คือสายแบบ 8.3/125
?m ซึ่งในการส่องแสงจะต้องใช้แสงที่เป็นเส้นตรง เพราะขนาดของแสงเล็กมาก
ต้องมีกำลังส่องแสงสูง เส้นลำแสงเดียว ซึ่งได้แก่แสงแบบ LASER
จะเห็นได้ว่าซิงเกิ้ลก็แปลว่าหนึ่ง ก็คือวิธีการฉายหรือแบบหนึ่งลำแสง
ซึ่งจะต่างไปกับสายที่หลอดเล็กมาก ๆ เพื่อรีดแสงไม่ให้กระจายไปไหน
สามารถส่งสัญญาณได้ไกล
2. แบบมัลติโหมด (Multimode) ก็คือสายแบบ 50/125 และ
62.5/125 ?m ซึ่งการส่องแสงผ่านหลอดแก้วที่มีขนาดใหญ่
สามารถใช้แสงไฟธรรมดาส่องไปได้
แต่เมื่อแสงเข้าไปในหลอดแก้วแล้วจะเป็นแสงกระจายทั่วทิศทาง
ทำให้แสงเดินทางได้สั้นกว่าแบบแรก
มีคนแย้งมาว่าถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมไม่ใช้แต่สายแบบ
Singlemode เมื่อสายขนาดเล็กราคาน่าจะถูกกว่าและนำแสงได้ไกลกว่า
ก็ถูกต้องครับสาย Singlemode ราคาถูกกว่า
นำสัญญาณได้ไกลกว่าแต่ข้อเสียก็คือตัวกำเนิดแสงราคาแพงกว่ามากเพราะต้อง
สร้างลำแสงเป็นลำแสงเดียวแบบแสง LASER ซึ่งเมื่อเทียบกับ Multimode
ที่ใช้แสงไฟธรรมดาหรือแสงแบบไฟฉายได้
ในการนำสายไปติดตั้งใช้งาน
เพื่อความสะดวกและยืดอายุการใช้งานสายไฟเบอร์
จึงมีการสร้างโครงสร้างเพิ่มให้สายเหมาะสมกับการใช้งาน โดยหลัก ๆ มีอยู่ 2
แบบโครงสร้างดังนี้
1. แบบ Tight Buffer
ซึ่งนิยมทำให้กับสายที่เดินภายในอาคาร
โดยจะมีการหุ้มฉนวนอีกชั้นหนึ่งให้มีความหนา 900 ?m (0.9 mm)
เพื่อสะดวกในการใช้งานและการป้องกันสายไฟเบอร์ในการติดตั้ง
2. แบบ Loose Tube
นิยมใช้กับสายที่ออกแบบให้เดินนอกอาคาร
โดยการนำสายไฟเบอร์มาลอยไว้ในแท่งพลาสติกและใส่เยลกันน้ำเข้าไปในหลอดเพื่อ
ป้องกันสายไม่สัมผัสกับแรงต่าง ๆ อีกทั้งยังกันน้ำซึมเข้าไปอีกด้วย
สุดท้ายการนำสายไปใช้งานจริงจำเป็นต้องหุ้มฉนวนอีก
ชั้นเพื่อป้องกันการกระแทกและใส่เส้นใยเหนียวหุ้มสายเพื่อใช้ในการดึงสาย
ระหว่างติดตั้งโดยศัพท์ทางเทคนิคจะเรียกการหุ้มฉนวนชั้นสุดท้ายว่า Jacket
ซึ่งอาจเพิ่มเติมเหล็กหุ้มเพื่อกันสัตว์แทะหรือกัด
ซึ่งก็เรียกว่าเกราะเหล็ก หรือ Steel Armored
หรือบางโรงงานไม่ใช้เส้นใยเหนียวในการดึงสาย
ก็ใช้วิธีใส่ลวดเป็นเส้นคู้กับสายไป
ซึ่งจะดีในแง่ประหยัดแต่สายจะแข็งมากโค้งยาก บางยี่ห้ออาจใช้
Thermoplastic
เป็นฉนวนทำให้สามารถใช้ได้ทั้งภายในและภายนอกอาคารเพื่อกันไฟลามและทนต่อ
สภาพแวดล้อมทั้งนี้รูปแบบภายนอกจะแตกต่างกันไปตามโรงงานผู้ผลิต
แต่สายจะดีไม่ดีอยู่ที่คุณสมบัติของแท่งแก้วที่เป็นแกนในของสายไฟเบอร์ครับ
หากต้องการทราบรายละเอียดจริง ๆ เกี่ยวกับสายไฟเบอร์
และการนำสายไฟเบอร์ไปใช้งาน ขอให้ติดต่อทีมวิศกรของ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์
คอมมิวนิเคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด เลขที่ 48/28 อาคารอินเตอร์ (1987)
ซอยรุ่งเรือง ถนนรัชดาภิเษก แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310
และหากสนใจจะขอจองที่นั่งอบรมเทคนิคการออกแบบ Open Cabling System
ได้ที่แผนกการตลาดตลอดเวลาทำการได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 693-1222 (20 คู่สาย)
โทรสาร 693-1399
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น